วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

Fifty Shades Freed ฟิฟตี้เชดส์ฟรีด 2018


ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสของ Fifty Shades of Grey นี่แรงมาตั้งแต่ตอนช่วงภาคแรกออกฉายใหม่ๆ ด้วยความเป็นหนังติดเรทที่ต้องมีการตรวจบัตรก่อนเข้าชม และหนังก็ค่อนข้างน่าสนใจในแบบที่ไม่ค่อยมีหนังเรื่องไหนทำมาก่อน แถมด้วยเรื่องราวของหนังก็น่าติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อไป พอมาภาค 2 Fifty Shades Darker ด้วยชื่อที่บ่งบอกว่ามันต้องดาร์คกว่าเดิม แต่หนังกลับทำได้ไม่ดาร์คสมชื่อ แถมยังเบาลงกว่าภาคแรกเยอะมาก ทำให้ความคาดหวังมาตกที่ภาค 3 ซึ่งเป็นภาคไคลแม็กซ์ ว่ามันคงต้องมีอะไรมากกว่าเดิมล่ะน่ะ

หลังจากภาคที่แล้วทั้งคู่ได้ตกลงแต่งงานกัน และในภาคนี้จะเป็นการออกไปท่องโลกฮันนีมูนให้แฟนหนังได้อิจฉาตาร้อนผ่าว รวมถึงล้วงลึกเข้าไปถึงอีกด้านของจิตใจของคุณเกรย์ และปมในอดีตที่กลับมาสร้างปัญหาให้กับทั้งคู่ด้วย

หนังเล่าเรื่องต่อจากภาคที่แล้วทันที ไม่ต้องย้อนให้มากความ ก็เล่าเรื่องราวโรแมนติคไปตามประสา ฉากวาบหวิวน้อยลงเรียกว่าไม่ดุเดือดเหมือนภาคแรก อะไรหลายๆ อย่างมันเหมือนถูกลืมเลือนในความเป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ไปเลย คือก็ไม่ใช่ว่าต้องโป๊เปลือยผมถึงจะบอกว่าหนังดีนะ แต่หนังมันลืมปมความเป็น Mr.Grey ไปแบบดื้อๆ ทั้งๆ ที่มันคือจุดสำคัญที่บอกว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงแตกต่าง

ประเด็นต่างๆ ในภาคนี้ก็มีหลายๆ ประเด็นที่เหมือนจะหยิบยกขึ้นมาเป็นเรื่องสำคัญ แต่แล้วก็หายไป เอายกตัวอย่างง่ายๆ หนังพยายามบอกถึงความไม่เป็นตัวของตัวเองของ แอนา เมื่ออยู่กับ Grey ซึ่งหนังแสดงให้เห็นถึงความอึดอัดในเรื่องเหล่านี้ แต่สุดท้ายหนังก็ลืมเลือนมันไป ไม่ได้บอกว่าแล้วไปยังไงต่อ แล้วก็ไปโฟกัสเรื่องอื่นแทน

ยังมีอีกหลายๆ ประเด็นที่เหมือนหนังจะเอามาสร้างปัญหาให้กับคู่รักคู่นี้ เช่นเรื่องของกิ๊กเก่าของเกรย์ ที่เหมือนจะเอามาเล่น เรื่องของพ่อแม่งอนและความขึ้หึงหวงของ คริสเตียน ที่มีต่อ แอนา และอีกหลายๆ เรื่องที่หนังใส่ไว้ แต่สุดท้ายแล้วหนังไปเล่นเรื่องเดียวคือเรื่องของ แจ็ค ไฮด์ ที่คอยตามล้างตามผลาญคู่รักคู่นี้ แต่ก็เล่นแบบเบาๆ ไม่ได้มีอะไรพลิกโผแม้แต่น้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น